
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บัตรเครดิต เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการจับจ่ายใช้สอยของคนในยุคนี้เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากบัตรเครดิตมีส่วนช่วยให้คนเราสามารถเป็นเจ้าของในสิ่งที่เราต้องการได้โดยไม่ต้องรอ และยังช่วยเป็นวงเงินสำรองในกรณีที่เรามีเหตุต้องใช้จ่ายฉุกเฉินอีกด้วย
ถึงแม้ว่า บัตรเครดิตจะมีประโยชน์หรือข้อดีมากมาย แต่บัตรเครดิตก็กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของหนี้ก้อนโตที่ยากจะแก้ไขได้เช่นกัน เพราะหลายคนมักเลือก “จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ” โดยที่ไม่ทันได้ระวังว่า การจ่ายขั้นต่ำเป็นประจำจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้คุณเป็นหนี้ก้อนโตได้อย่างที่คุณคาดไม่ถึง เพราะอะไร? บทความนี้มีคำตอบ
ทำไมการจ่ายบัตรขั้นต่ำ จึงเสี่ยงเป็นหนี้บัตรเครดิตมากกว่า?
การจ่ายบัตรขั้นต่ำ หมายถึง การผ่อนชำระในยอดขั้นต่ำที่ธนาคารเจ้าของบัตรกำหนดมาให้ ซึ่งอาจจะเป็นยอด 5-10% ของยอดการใช้จ่ายทั้งหมดที่คุณได้รูดไป ดูเผินๆ การจ่ายค่าบัตรเครดิตขั้นต่ำเหมือนจะเป็นการผ่อนชำระที่สะดวก แลดูประหยัดเงินดี มีระยะเวลาให้ค่อยๆ จ่ายไป ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อจ่ายค่าบัตรเครดิตทั้งหมด ทำให้เรามีเงินสดเหลือพอที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงลงทุนอย่างอื่นได้อีก แต่ในความเป็นจริงแล้ว คุณอาจจะต้องเผชิญกับภาระดอกเบี้ยที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จากการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ทำให้เงินเดือนไม่พอใช้ หรือเงินตึงมือในทุกๆ เดือนได้
ทั้งนี้เพราะ บัตรเครดิตจะมีสิ่งที่เรียกว่า “ระยะปลอดหนี้” หรือ “ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย” ซึ่งคือระยะเวลาที่ธนาคารเจ้าของบัตรจะยังไม่คิดดอกเบี้ย หากเราสามารถชำระยอดนั้นคืนทั้งหมดภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ คุณก็จะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเลยซักบาท แต่หากคุณเริ่มจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำเมื่อไหร่ ระยะปลอดดอกเบี้ยนั้นจะสิ้นสุดลง และจะถูกคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตทันที โดย ดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะอยู่ที่ 16% ต่อปี
หลายคนมักจะเข้าใจว่า ดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะเริ่มคิดจากวันที่เราเริ่มจ่ายขั้นต่ำ แต่จริงๆ แล้วดอกเบี้ยจะถูกคิดตั้งแต่วันที่เรารูดบัตรเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ และคิดจากยอดเต็มจำนวนทั้งหมด เพราะบัตรเครดิตของคุณสิ้นสุดระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยไปเรียบร้อยแล้ว (อ้างอิงข้อมูลจาก ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย)
อีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือ เมื่อระยะเวลาปลอดหนี้ หรือปลอดดอกเบี้ยสิ้นสุดลง คุณจะถูกคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต 2 ต่อ คือ ยอดดอกเบี้ยที่คำนวณจากยอดทั้งหมดที่คุณรูดไป กับยอดดอกเบี้ยที่คำนวณจากวงเงินคงเหลือหลังจากที่จ่ายคืนแบบขั้นต่ำไปแล้ว และดอกเบี้ยจะถูกคิดเป็นรายวัน นับตั้งแต่วันแรกที่รูดบัตรไปจนถึงกำหนดตัดรอบบิลอีกรอบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะสามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้ทั้งหมด
หากคุณมีการรูดใช้บัตรเครดิตระหว่างนั้นไปอีก ยอดดังกล่าวก็จะถูกคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตไปด้วย ทำให้คุณต้องเผชิญกับดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สูงขึ้น และหากคุณยังจ่ายขั้นต่ำต่อไป ดอกเบี้ยก็จะถูกคิดแบบทบยอดไปเรื่อยๆ ทุกครั้ง ทำให้กลายมาเป็นภาระหนี้ที่พอกพูนไม่รู้จบ
วิธีจัดการปัญหาหนี้บัตรเครดิต เมื่อจำเป็นต้องจ่ายขั้นต่ำ
แม้เราจะบอกว่าการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำเสี่ยงต่อการเผชิญกับดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า การจ่ายขั้นต่ำเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเสมอไป เพราะในกรณีที่คุณมีความจำเป็นต้องจ่ายขั้นต่ำจริงๆ ก็สามารถทำได้ เพื่อคงสภาพคล่องทางการเงินไว้ก่อน และหากในรอบบิลถัดไปที่คุณมีสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มขึ้น คุณก็สามารถนำมาโปะค่าบัตรเครดิตที่เหลือได้
ในกรณีที่ยังไม่มีเงินก้อนมากพอจะ ปิดหนี้บัตรเครดิต เราแนะนำให้คุณจ่ายค่าบัตรเครดิตในยอดที่สูงกว่ายอดขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนดมาซักเล็กน้อย เพื่อให้เงินส่วนนั้นไปหักยอดเงินต้น ส่งผลให้การคำนวณดอกเบี้ยในรอบบิลถัดไปจะลดน้อยลง และคุณสามารถเคลียร์ปัญหาหนี้บัตรเครดิตได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
1. เปลี่ยนมาใช้เงินสด
ในระหว่างที่มียอดหนี้ค้างชำระอยู่ในบัตรเครดิต พยายามอย่าสร้างหนี้ก้อนใหม่ด้วยการใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าหรือบริการเพราะจะทำให้เกิดยอดหนี้ใหม่ขึ้นในบัตร เนื่องจากยอดการใช้จ่ายที่คุณรูดใหม่จะถูกนำมาคิดดอกเบี้ยรวมไปกับยอดค้างชำระ เพราะบัตรเครดิตหมดระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยไปแล้วจากการจ่ายขั้นต่ำของหนี้ก้อนเดิม การที่ยังใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะยิ่งทำให้คุณมีหนี้สะสมเพิ่ม ด้วยเหตุนี้ เราจึงแนะนำให้คุณใช้เงินสดในการใช้จ่ายระหว่างที่ยังปิดหนี้บัตรเครดิตไม่ได้ไปก่อนจะเป็นการดีกว่า
2. จ่ายค่าบัตรเครดิตให้ตรงเวลา
หากมีความจำเป็นต้องจ่ายค่าบัตรเครดิตขั้นต่ำจริงๆ อย่างน้อยที่สุด เราแนะนำให้คุณจ่ายค่าบัตรเครดิตให้ตรงเวลาที่ธนาคารกำหนดไว้ เพราะการค้างจ่ายค่าบัตรเครดิต หรือชำระหนี้ล่าช้า จะยิ่งทำให้ยอดหนี้คุณเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะนอกจากดอกเบี้ยที่ถูกคิดเพิ่มแล้ว คุณจะต้องเจอกับค่าปรับจากการผิดนัดชำระด้วย และที่แย่ไปกว่านั้นคือ การผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิต ยังส่งผลเสียต่อประวัติการเงินของคุณอีกด้วย
ทั้งนี้เพราะ ประวัติการผิดนัดชำระหนี้ของคุณจะไปปรากฏในบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือ เครดิตบูโร เมื่อต้องทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ในอนาคต ทำให้คุณอาจจะไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่ออื่นๆ ที่ต้องการในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ ฯลฯ เนื่องจากธนาคารตรวจพบประวัติการค้างชำระหนี้ในอดีตของคุณนั่นเอง
3. ปรึกษาธนาคาร
หากรู้สึกว่า มีหนี้บัตรเครดิตมากจนรับมือได้ยาก อย่ากลัวที่จะเข้าไปปรึกษากับทางธนาคาร เราแนะนำให้คุณติดต่อธนาคารเจ้าของบัตร และลองสอบถามแนวทางการแก้ไขปัญหา พร้อมแจ้งธนาคารไปเลยว่ามีปัญหาอะไรทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทางธนาคารอาจจะแนะนำให้ทำการ กู้สินเชื่อรวมหนี้ หรือปรับเปลี่ยนเป็นสินเชื่อรูปแบบอื่น ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า ปัญหาหนี้ที่ตึงอยู่ก็อาจจะผ่อนคลายลงได้
4. รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต
การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต คือ การกู้สินเชื่อก้อนใหม่มาเพื่อปิดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด และเปลี่ยนมาผ่อนชำระคืนกับสินเชื่อก้อนใหม่แทน วิธีนี้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่เพิ่มพูนจากการจ่ายขั้นต่ำได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยให้คุณปิดหนี้บัตรเครดิตที่มีได้ครบทุกใบ ทำให้คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้แต่ละงวด พร้อมกับยืดระยะเวลาในการผ่อนชำระหนี้ออกไปได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ยสะสม และไม่ต้องสับสนวันครบกำหนดชำระหนี้บัตรเครดิตหลายใบ เพราะสินเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตมักกำหนดจำนวนยอดที่ต้องผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน ทำให้คุณสามารถบริหารเงินในแต่ละเดือนได้สะดวกขึ้น รวมถึงการสร้างวินัยในการชำระหนี้ จะช่วยให้คุณปิดหนี้บัตรเครดิตได้เร็วยิ่งขึ้น
หยุดวงจรจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ ดอกเบี้ยสูง ง่ายๆ ด้วยสินเชื่อบุคคล
หากคุณกำลังปวดหัวกับหนี้บัตรเครดิต ต้องการจะ รวมหนี้ทุกก้อนเป็นก้อนเดียว และกำลังมองหาสินเชื่อรวมหนี้ หรือ สินเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต เราขอแนะนำสินเชื่อบุคคล ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย สินเชื่อ ดอกเบี้ยต่ำ ที่จะช่วยเคลียร์ปัญหาการเงินที่ตึงอยู่ ให้ผ่อนคลายลงได้ด้วยบริการต่อไปนี้
1. สินเชื่อบุคคล เพอร์ซันนัลแคช (Personal Cash)
สินเชื่อบุคคล เพอร์ซัลนัลแคช ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย สินเชื่อรวมหนี้บัตรเครดิต ดอกเบี้ยต่ำ (ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 14.99% ต่อปี อายุสัญญา 24 เดือน) สินเชื่อ สำหรับพนักงานประจำที่มีเงินเดือน 30,000 บาท สินเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ที่จะช่วยให้คุณรวมหนี้เป็นก้อนเดียว และปิดหนี้บัตรเครดิตได้เร็วขึ้น สมัครสินเชื่อบุคคล เพอร์ซัลนัลแคช ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้ 2 ช่องทาง
- เว็บไซต์https://www.cimbthaionlinecampaign.com/droplead/personal.html
- แอดไลน์@cimbpersonalloan https://lin.ee/I1JAHpA
- ลูกค้าใหม่ สามารถสมัครสินเชื่อออนไลน์ ผ่านแอป CIMB THAI Digital Banking ของธนาคาร ดาวน์โหลดได้เลย ทั้งระบบ IOS และ Android คลิก
2. วงเงินสดพร้อมใช้ สินเชื่อบุคคล เอ็กซ์ตร้าแคช (ExtraCash)
วงเงินสดพร้อมใช้ สินเชื่อบุคคล เอ็กซ์ตร้าแคช (ExtraCash) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย สินเชื่อ วงเงินสดพร้อมใช้ ในรูปแบบวงเงินหมุนเวียน (เสมือนบัตรกดเงินสด) สำหรับพนักงานประจำ ที่มีเงินเดือน 30,000 บาท ขึ้นไป สินเชื่อที่จะช่วยให้คุณมีเงินสำรองพร้อมใช้ตลอดเวลา พร้อมความสะดวกสบายที่มากกว่า เพราะคุณสามารถเบิก-ถอนวงเงินผ่านแอป ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องง้อบัตร คิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก และคิดดอกเบี้ยเมื่อทำการเบิกถอนวงเงินเท่านั้น
คุณสามารถเบิกถอนวงเงิน สินเชื่อเอ็กซ์ตร้าแคช นำไปปิดหนี้บัตรเครดิต และเลือกได้ว่าต้องการชำระขั้นต่ำ 5% (แต่ไม่น้อยกว่า 500 บาท) หรือ จ่ายคืนเต็มจำนวน ในอัตราดอกเบี้ยเพียง 11.88% ต่อปี 24 รอบบัญชีแรก (ถูกกว่าการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต ที่มีดอกเบี้ยสูงถึง 16% ต่อปี)
สมัครสินเชื่อเงินสด เอ็กซ์ตร้าแคช ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้ 3 ช่องทาง ได้แก่
- เว็บไซต์https://www.cimbthaionlinecampaign.com/droplead/extra.html
- แอดไลน์@cimbpersonalloan https://lin.ee/I1JAHpA
- ลูกค้าใหม่ สามารถสมัครสินเชื่อออนไลน์ ผ่านแอป CIMB THAI Digital Banking ของธนาคาร ดาวน์โหลดได้เลย ทั้งระบบ IOS และ Android คลิก
หมายเหตุ
- วงเงินอนุมัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของทางธนาคาร
- อัตราดอกเบี้ยและ ข้อกำหนดเงื่อนไขเป็นไปตามธนาคารประกาศกำหนด
- รายละเอียดเพิ่มเติมที่ : https://www.cimbthaionlinecampaign.com/personalloan/selfapply.html
- ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม CIMB Thai Care Center โทร. 02 626 7777