
มนุษย์เงินเดือนกับเรื่องการบริหารเงินเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ยิ่ง ณ เวลานี้ที่เราอยู่ในภาวะเงินเฟ้อที่ของใช้หรือสินค้าต่างๆ พากันขึ้นราคา ยิ่งทำให้การบริหารเงินเป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้น เพราะหากคุณบริหารเงินได้ดีมากเท่าไร ก็เท่ากับว่า คุณจะมีเงินเหลือเก็บใช้ในยามฉุกเฉินในอนาคตมากเท่านั้น ดังนั้น วันนี้เรามีเทคนิคและวิธีบริหารเงินฉบับมนุษย์เงินเดือนมาฝาก
สูตรที่ 1 บริหารเงินแบบ 80/20
สูตรการออมเงิน 80/20 คือ การแบ่งรายรับในแต่ละเดือนออกเป็น 2 ส่วน โดย 20% แรก แบ่งออกมาเพื่อเป็นเงินออม และอีก 80% ที่เหลือสามารถนำไปใช้จ่ายได้ เช่น หากคุณมีรายได้เดือนละ 15,000 บาท หากออมเงินด้วยหลัก 80/20 คุณจะต้องแยกเงินออกมาเพื่อเก็บออม 2,500 บาท (20% ของ 15,000 บาท) และแบ่งเงินก้อน 80% เอาไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
โดยแบ่งเงินก้อน 80% เพื่อใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วนดังนี้
1. รายจ่ายประจำวัน
อาทิ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง สำหรับค่าใช้จ่ายในกลุ่มนี้ควบคุมยาก เพราะบางครั้งก็เป็นเงินที่จ่ายออกไปทีละน้อย แต่เมื่อนำมาคำนวณและนับรวมแล้วในแต่ละเดือนไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น คุณจึงควรคุมรายจ่ายในส่วนนี้ ไม่ควรเกิน 20% ของรายจ่ายแต่ละเดือน
2. รายจ่ายประจำเดือน และค่าใช้จ่ายประจำปี
อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือ ค่าหนี้ผ่อนบ้าน บางรายการก็เป็นหนี้ไม่ดี เช่น เงินผ่อนสินค้าที่เกินความจำเป็น หรือ การใช้ บริการ Buy Now Pay Later เป็นต้น และถ้าจะให้ดีต่อสุขภาพการเงินเราขอแนะนำให้ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไม่ควรเกิน 50% ของรายจ่ายแต่ละเดือน
3. รายจ่ายสำหรับการลงทุนเพื่อเป็นรายได้ในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็น การลงทุน ซื้อประกันชีวิต ประกันออมทรัพย์ การลงทุนในกองทุน ลงทุนในความรู้การศึกษา คอร์สพัฒนาตนเอง ถึงแม้ว่ารายจ่ายในกลุ่มนี้จะก่อให้เกิดผลตอบแทนที่งอกเงยในอนาคต แต่ก็ควรแบ่งสัดส่วนให้ดีๆ และไม่ควรเกิน 30% ของรายจ่ายแต่ละเดือน
เงินก้อน 20% สำหรับใช้ในการออม
ควรแบ่งเงิน 20% เพื่อเป็นเงินออม หลายคนจะแบ่งเงินออกเป็นก้อนๆ ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ เช่น 1,000 บาทเก็บเพื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน 500 บาทเพื่อเตรียมซื้อของในเวลาจำเป็น อีก 1,000 บาทเพื่อเตรียมไว้ใช้หลังเกษียณ เป็นต้น
สูตรที่ 2 บริหารเงินแบบ 50 - 30 - 20
สำหรับสูตร 50 - 30 - 20 นี้จะแตกต่างจากสูตรแรก ตรงที่แบ่งสัดส่วนรายได้ตามหมวดหมู่ที่วางแผนไว้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อการใช้จ่ายในแต่ละเดือน คือ เวลาเงินเดือนเข้าบัญชีก็จัดการแบ่งออกเป็น 3 ก้อนไว้เลย เช่น เงินเดือน 15,000 บาท ก็แบ่งเป็น 7,500 บาท : 5,000 บาท : 2,500 บาท โดยจำแนกเงินออกเป็นดังนี้
1. เงินก้อน 50% สำหรับใช้จ่ายประจำในแต่ละเดือน
เงินจำนวน 7,500 บาท สำหรับใช้จ่ายในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็น เงินค่าอยู่ค่ากิน เงินจ่ายหนี้บัตรเครดิต เงินค่าผ่อนของ ค่าผ่อนรถ หรือผ่อนคอนโดมิเนียม รวมถึง ให้พ่อแม่ โดยเงินก้อนนี้จะใช้จ่ายเพื่อความจำเป็น (Needs) ต่อการดำรงชีวิต ไม่ใช่เพื่อความต้องการ (Wants) ดังนั้น ก่อนตัดสินใจต้องแน่ใจว่าใช้จ่ายเพื่อความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
2. เงินก้อน 30% สำหรับใช้เพื่อซื้อความสุข
เงิน 5,000 บาท สำหรับใช้เพื่อสร้างความสุข เช่น ทานอาหารนอกบ้าน ชอปปิง ท่องเที่ยว รวมถึง ค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เช่น ค่าสมัครบริการแอปสตรีมมิ่งต่างๆ แต่ถึงแม้จะเป็นเงินจ่ายเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง ก็ควรคิดให้รอบคอบว่าเพื่อความจำเป็นจริงๆ เช่น เมื่อเดือนที่แล้วซื้อรองเท้า 1 คู่ ดังนั้น อีก 5 เดือนนับจากนี้ก็ควรงดซื้อ หรือตั้งเป้าหมายว่าจะทานอาหารนอกบ้านไม่เกินเดือนละ 2 ครั้ง เป็นต้น การตั้งเป้าหมายเช่นนี้จะทำให้การใช้จ่ายเงินอยู่ในงบประมาณที่วางเอาไว้
3. เงินก้อน 20% สำหรับใช้ในการออม
เงินก้อนสุดท้ายจำนวน 2,500 บาท สำหรับเก็บออม โดยทำการแบ่งเงินออกเป็นก้อนๆ ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ เช่น 1,000 บาทเก็บเพื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน 500 บาทเพื่อเตรียมซื้อของในเวลาจำเป็น อีก 1,000 บาท เพื่อเตรียมไว้ใช้หลังเกษียณ โดยเงินก้อนสุดท้ายนี้ควรนำไปเก็บออมไว้ตามความเหมาะสมของแต่ละเป้าหมาย เช่น
- เงินเก็บเพื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ควรเป็นเงินฝากออมทรัพย์หรือกองทุนรวมตลาดเงิน
- เงินออมเพื่อซื้อบ้าน ควรนำไปซื้อกองทุนรวมผสม หรือ เงินเพื่อวัยเกษียณ เป็นต้น
สำหรับทั้ง 2 สูตรบริหารเงิน ที่เราได้แนะนำไปนั้น การวางแผนการเงินสำหรับอนาคต จึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก เพราะไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง และสิ่งที่ใช้แก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้ก็คือเงิน แม้ว่าการออมเงินจะทำได้ยาก เพราะต้องมีวินัยในตัวเองค่อนข้างสูง แต่ถ้าหากเรากลั้นใจบังคับตัวเองไปสักระยะหนึ่ง เราจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอน
แน่นอนว่า เมื่อคุณมีวินัยทางการเงินที่ดี การขอสินเชื่อในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และหากคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนที่อยากเริ่มต้นบริหารจัดการเงินเดือนให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังมีหนี้บัตรเครดิตอยู่หลายใบ ต้องการรวมหนี้บัตรเครดิต เราขอแนะนำ สินเชื่อรวมหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล เพอร์ซันนัลแคช (Personal Cash) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย สินเชื่อรวมหนี้ ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับพนักงานประจำที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป สมัครง่ายไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน แบ่งชำระคืนธนาคารเป็นรายเดือน เดือนละเท่าๆ กัน คิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ไม่มีค่าดำเนินการขอสินเชื่อ
สมัครสินเชื่อบุคคลเพอร์ซันนัลแคช ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ 3 ช่องทาง
- เว็บไซต์ https://www.cimbthaionlinecampaign.com/droplead/personal.html
- แอดไลน์ @cimbpersonalloan https://lin.ee/I1JAHpA
- สมัครสินเชื่อออนไลน์ ผ่านแอป CIMB THAI ของธนาคาร ดาวน์โหลดได้เลย ทั้งระบบ IOS และ Android คลิก
เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย สินเชื่อบุคคล เพอร์ซันนัลแคช (Personal Cash) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
- กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
- 9.99% ต่อปี อายุสัญญา 12 เดือน
- อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 9.99% - 25% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารประกาศกำหนด
หมายเหตุ
- วงเงินอนุมัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของทางธนาคาร
- เวลาให้บริการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.
- ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม CIMB Thai Care Center โทร. 02 626 7777