มนุษย์เงินเดือนหรือผู้เสียภาษีหลายคนที่อยากเริ่มต้นวางแผนภาษี มองหาค่าลดหย่อนภาษี เพื่อเตรียมยื่นภาษีในช่วงต้นปีที่จะมาถึง และหากคุณเป็นหนึ่งที่จะต้องยื่นภาษีเงินได้ประจำปี เราได้รวมค่าลดหย่อนภาษี 2567 สำหรับการยื่นภาษีต้นปี 2568 มาไว้ให้คุณแล้ว
ค่าลดหย่อนภาษี คืออะไร?
ค่าลดหย่อนภาษี คือ รายการที่กฎหมายกำหนดให้หักลดหย่อนภาษีเพิ่มได้จากค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อแบ่งเบาภาระภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี ส่งผลให้ผู้เสียภาษีจ่ายภาษีถูกลง และเพิ่มโอกาสที่จะได้เงินคืนภาษีนั่นเอง
สิทธิลดหย่อนภาษี 2567 มีอะไรบ้าง
1. ค่าลดหย่อนส่วนตัว
กฎหมายกำหนดให้ผู้เสียภาษีสามารถใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ 60,000 บาท โดยผู้เสียภาษีจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนนี้ได้ทันทีที่ทำการยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้ประจำปี (ภ.ง.ด. 90, ภ.ง.ด. 91)
2. ค่าลดหย่อนคู่สมรส กฎหมายกำหนดให้คู่สมรสสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 60,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ
- ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 1 คน
- ต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายกำหนด
- คู่สมรส (สามีหรือภรรยา) ต้องเป็นผู้ไม่มีเงินได้ หรือรายได้ในปีนั้นๆ
- ในกรณีที่สามีและภรรยามีเงินได้ทั้งคู่ กฎหมายอนุญาตให้ ยื่นภาษีรวมกันเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีคู่สมรสได้
3. ค่าลดหย่อนบุตรกฎหมายกำหนดเงื่อนไขการใช้สิทธิค่าลดหย่อนบุตร 2 ข้อ ดังนี้
-
3.1 ค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมาย
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายคนละ 30,000 บาท และหากมีบุตรคนที่ 2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้คนละ 60,000 บาท
3.2 ค่าลดหย่อนบุตรบุญธรรมสำหรับผู้ที่มีบุตรบุญธรรม หรือมีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้สูงสุด 3 คน และจะต้องเป็นบุตรที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
- บุตรจะต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี
- ในกรณีที่บุตรมีอายุ 21-25 ปี บุตรจะต้องศึกษาอยู่ในระดับปวส. ขึ้นไปเท่านั้น
- บุตรจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี (ยกเว้นกรณีเงินปันผล)
4. ค่าลดหย่อนบิดามารดา
-
4.1 ค่าลดหย่อนบิดามารดาตัวเอง กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่เลี้ยงดูพ่อแม่
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนพ่อแม่ได้คนละ 30,000 บาท โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ
- ต้องเป็นพ่อแม่ที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือพ่อแม่ที่แท้จริงเท่านั้น
- พ่อ-แม่ ต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป
- พ่อ-แม่ ต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี
ในกรณีที่คุณมีพี่น้องและต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบิดามารดา เราแนะนำให้คุณพูดคุยกับพี่หรือน้องของคุณให้ชัดเจนว่า ใครจะเป็นผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีพ่อแม่ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ ค่าลดหย่อนบิดามารดาสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถยื่นขอใช้สิทธิซ้ำกันได้
การใช้สิทธิลดหย่อนพ่อแม่ จะต้องใช้หนังสือรับรองการหักค่าลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (ลย.03) พร้อมให้พ่อแม่เซ็นชื่อกำกับเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษีด้วย
-
4.2 ค่าลดหย่อนบิดามารดาคู่สมรส ในกรณีที่คุณดูแลพ่อแม่คู่สมรส
กฎหมายกำหนดให้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีพ่อแม่คู่สมรสได้คนละ 30,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า
- จะต้องเป็นพ่อแม่ที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือพ่อแม่ที่แท้จริงเท่านั้น
- พ่อ-แม่ จะต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
- พ่อ-แม่ จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี
- คู่สมรสต้องไม่มีรายได้ และครอบครัวฝั่งคู่สมรสจะต้องไม่มีใครใช้สิทธิลดหย่อนพ่อแม่
- ต้องใช้หนังสือรับรองการหักค่าลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (ลย.03) พร้อมให้พ่อแม่เซ็นชื่อกำกับเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษีด้วย
5. ค่าลดหย่อนผู้พิการ หรือทุพพลภาพ
หากคุณเป็นผู้ดูแลหรืออุปการะผู้พิการหรือทุพพลภาพ จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท โดยมีเอกสารที่ต้องใช้เป็นหลักฐานคือ
- บัตรประจำตัวผู้พิการ หรือใบรับรองแพทย์
- เอกสารรับรองการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้ทุพพลภาพ (ลย.04)
6. ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร
ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตรสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท และจะต้องเป็นค่าฝากครรภ์และคลอดบุตรที่จ่ายตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- ต้องเป็นค่าฝากครรภ์ หรือคลอดบุตร ที่จ่ายให้กับสถานพยาบาลของรัฐและเอกชน
- ในกรณีที่ท้องปีนี้ คลอดปีหน้า สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามปีที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 60,000 บาท
- ในกรณีที่ต้องยื่นภาษีทั้งสามีและภรรยา กฎหมายกำหนดให้ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตรเป็นของภรรยา แต่หากภรรยาไม่มีรายได้ในปีภาษีนั้นๆ สามีจึงจะสามารถใช้สิทธิฝากครรภ์และคลอดบุตรได้
- ใช้ใบเสร็จรับเงิน และใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐานในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
7. ค่าเบี้ยประกันชีวิตลดหย่อนภาษี
ในกรณีที่คุณจ่ายเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป หรือ เงินฝากแบบมีประกันชีวิตในช่วงปีที่ผ่านมา สามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายตลอดทั้งปีมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะต้องเป็นกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป ที่ทำกับบริษัทประกันในประเทศไทยเท่านั้น
8. ประกันสุขภาพลดหย่อนภาษี
ค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้มี 2 กรณี คือ
-
8.1 ค่าเบี้ยประกันสุขภาพตนเอง
- ประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาล เนื่องจากอาการเจ็บป่วยและอาการบาดเจ็บ ชดเชยทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรืออาการบาดเจ็บ
- ประกันอุบัติเหตุ ที่ให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก
- ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (Critical illnesses)
- ประกันสุขภาพระยะยาว (Long Term Care)
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่จ่ายมาตลอดทั้งปี ได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป หรือเงินฝากแบบมีประกันชีวิต จะต้องไม่เกิน 100,000 บาท และจะต้องเป็นประกันสุขภาพในกลุ่มต่อไปนี้
ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท และพ่อแม่จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่มีอายุครบ 60 ปี
9. ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษี
ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และสามารถใช้ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท และจะต้องเป็นประกันบำนาญที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป และจะต้องทำกับบริษัทประกันในประเทศไทยเท่านั้น
10. ค่าลดหย่อนประกันสังคม
ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมในปี 2567 จะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท
หมายเหตุ : จำนวนเงินสมทบประกันสังคมอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากมีการประกาศปรับลดเงินสมทบประกันสังคมในอนาคต
11. ดอกเบี้ยบ้าน ลดหย่อนภาษี
หากในช่วงปีที่ผ่านมาคุณได้ซื้อที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโด คุณสามารถนำดอกเบี้ยที่เกิดจากการซื้อที่อยู่อาศัยมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ในกรณีที่ซื้อแบบกู้ร่วม สิทธิลดหย่อนภาษีจะเฉลี่ยตามจำนวนคนร่วมกู้ โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ
- สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกับการซื้อที่อยู่อาศัยกี่หลังก็ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- ต้องใช้เอกสารรับรองการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เจ้าหนี้ออกให้ เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษีด้วย
12. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ก็ได้ อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ และสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องจ่ายภาษีตามที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 และมีเงื่อนไขอื่นๆ ดังนี้
- ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และสามารถขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
- ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อกองทุน RMF แต่จะต้องทำการซื้อต่อเนื่องทุกปี
- สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์ใหม่ได้ในปีที่เริ่มลงทุน ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป
13. กองทุนรวมเพื่อการออม SSF
กองทุนรวมเพื่อการออม SSF (Super Saving Fund) สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ก็ได้ อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ และใช้ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องจ่ายภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 และมีเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติมดังนี้
- ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อกองทุน
- ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อกองทุน SSF และไม่ต้องซื้อกองทุนต่อเนื่องทุกปี
- สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ภายในปี 2563 - 2567 (ข้อมูลจาก https://www.setinvestnow.com/th/mutualfund/ssf-rmf-tax-saving-investments)
14. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กบข/ กองทุนสังเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน
ใช้ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องจ่ายภาษี ตามที่จ่ายจริงแต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
15. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดปีละ 13,200 บาท และเมื่อรวมกับกองทุน RMF, กบข, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนสังเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, เบี้ยประกันบำนาญ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
16. กองทุน Thai ESG ลดหย่อนภาษี
ผู้ลงทุนในกองทุน Thai ESG สามารถนำมาเงินลงทุนมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และลดหย่อนได้ไม่เกิน 300,000 บาท/คน/ปี ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2569
17. บริจาคลดหย่อนภาษี
เงินบริจาคลดหย่อนภาษี ตามที่กฎหมายกำหนดประกอบไปด้วย
- บริจาคลดหย่อนภาษี 2 เท่า การบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา พัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของเงินที่บริจาครจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยงานหรือโรงพยาบาลที่เข้าเงื่อนไขได้ที่ เว็บไซต์ของกรมสรรพากร
- บริจาคลดหย่อนภาษีทั่วไป ใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าลดหย่อนอื่นแล้ว
- บริจาคพรรคการเมือง ลดหย่อนภาษี ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
18. Easy e-Receipt ลดหย่อนภาษี 2567
สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการซื้อของจากร้านค้าภายในประเทศระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567 มาลดหย่อนภาษี 2567 ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท โดยอัตราการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจะเป็นไปตามฐานภาษีของแต่ละคน
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : Easy e-Receipt ลดหย่อนภาษี 2567 )
19. มาตรการสร้างบ้าน ลดหย่อนภาษี (มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ 2567)
ผู้ที่สร้างบ้านใหม่ในปี 2567 สามารถนำค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างบ้านมาลดหย่อนภาษีได้ โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- ค่าจ้างก่อสร้างบ้านทุก ๆ 1 ล้านบาท นำไปลดหย่อนภาษีได้ 10,000 บาท (ค่าก่อสร้างบ้านสูงสุดต้องไม่เกิน 10 ล้านบาท)
- ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท (เศษของ 1ล้านบาทให้ปัดลง)
- เฉพาะค่าจ้างก่อสร้างบ้านไม่เกิน 1 หลัง และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ในปีที่ก่อสร้างเสร็จ
- ต้องเป็นค่าจ้างจ่ายจริง ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2567 – 31 ธันวาคม 2568 ตามสัญญาจ้างที่ได้เริ่มและดำเนินการในช่วงเวลาเดียวกัน
- สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น
- ผู้รับจ้างต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และสัญญาต้องชำระอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน ผ่านอินเตอร์เน็ตกับกรมสรรพากร
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : มาตรการสร้างบ้าน ลดหย่อนภาษี 2567)
20. เที่ยวเมืองรอง ลดหย่อนภาษี 2567
นโยบายเที่ยวเมืองรอง ลดหย่อนภาษี 2567 คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองรอง 55 จังหวัด ระหว่างเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน 2567 โดยสามารถนำค่าบริการท่องเที่ยว ค่าที่พักในเมืองรอง มาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว (ไกด์, มัคคุเทศน์)
- ค่าที่พักในโรงแรม,ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทย,ค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม ในจังหวัดเมืองรอง
- ใช้ใบกำกับภาษีแบบเต็มในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี
- เงื่อนไขทางภาษีเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
- สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น
รู้ได้อย่างไรว่า เราใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่
สำหรับผู้เสียภาษีที่อยากรู้ว่าตัวเองจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่นั้น คุณสามารถคำนวนหารายได้สุทธิประจำปีด้วยสูตร
“เงินได้ – ค่าใช้จ่ายส่วนตัว (100,000 บาท) – ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000 บาท) = เงินได้สุทธิ”
ทั้งหมดนี้ คือค่าลดหย่อนภาษี 2566 ที่เรารวบรวมมาฝาก และหากมีสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมเราจะรีบอัปเดตให้ค่าลดหย่อนภาษีใหม่ให้คุณทราบทันที และคุณมีความกังวลใจหลังจากคำนวณภาษี หรือไม่มั่นใจว่าจะสามารถวางแผนทางการเงินทันก่อนถึงเวลาที่ต้องจ่ายภาษีหรือไม่
เราขอแนะนำ สินเชื่อบุคคลเอ็กซ์ตร้าแคช (Extra Cash) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย สินเชื่อเงินสดพร้อมใช้ วงเงินสำรองแบบไม่ใช้บัตร ช่วยให้คุณมีเงินสำรองพร้อมใช้ตลอดเวลา พร้อมความสะดวกสบาย เพราะคุณสามารถเบิก-ถอนวงเงินผ่านแอปฯ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องง้อบัตร คิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก และคิดดอกเบี้ยเมื่อทำการเบิกถอนวงเงินเท่านั้น
สินเชื่อบุคคลเอ็กซ์ตร้าแคช (Extra Cash) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
สินเชื่อบุคคลเอ็กซ์ตร้าแคช (Extra Cash) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย คือ วงเงินสำรองพร้อมใช้ ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับพนักงานประจำ ที่มีเงินเดือน 30,000 บาทขึ้นไป สามารถสมัครสินเชื่อได้ 3 ช่องทาง
- เว็บไซต์ https://www.cimbthaionlinecampaign.com/droplead/extra.html
- แอดไลน์ @cimbpersonalloan https://lin.ee/I1JAHpA
- สมัครสินเชื่อออนไลน์ ผ่านแอป CIMB THAI ของธนาคาร ดาวน์โหลดได้เลย ทั้งระบบ IOS และ Android คลิก
เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคล
- กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
- อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 18% - 25% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ย CLR ณ. วันที่ 4 ตุลาคม 2566 = 20% ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
หมายเหตุ
- วงเงินอนุมัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของทางธนาคาร
- อัตราดอกเบี้ยและ ข้อกำหนดเงื่อนไขเป็นไปตามธนาคารประกาศกำหนด
- เวลาให้บริการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.
- ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม CIMB Thai Care Center โทร. 02 626 7777